วันพุธที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

แกงไตปลา

      แกงไตปลา  

                  เครื่องปรุง
  1. กะปิ
  2. ปลาย่าง
  3. พุงปลาที่หมักได้ที่แล้ว
  4. น้ำ เกลือ น้ำตาล ใบมะกรูด มะนาว
  5. ผักสด เช่น มัน ฟักทอง มะเขือเทศต่างๆ หน่อไม้
  6. เครื่องแกงมีพริกแห้ง หอม กระเทียม ตะไคร้ ข่า พริกไทย ขมิ้น นำมาโขลกให้ละเอียด
                  วิธีทำ
  1. นำพุงปลามาทำให้สะอาดโดยเอาขี้ปลาออกให้หมด
  2. นำพุงปลาที่สะอาดแล้วมาซาวด้วยเกลือพอประมาณ
  3. นำพุงปลาซาวเกลือใส่ขวดแก้วหรือใส่กระปุก ปิดฝาให้มิดชิดทิ้งไว้ 3-4 สัปดาห์
  4. เปิดออกดูจะได้กลิ่นหอมเปรี้ยว นำไปแกงได้ชนิดของพุงปลา
     * พุงปลาช่อนนำมาทำเป็นไตปลา ให้รสชาติหอมมันอร่อยมากที่สุด พุงปลากระดี่
ภาษาพื้นบ้านเรียกว่า ขี้ดี  ให้รสชาติขมหอมอร่อยมาก   พุงปลาโดยทั่วไปจะทำจาก
ปลาทูหรือปลารัง *

                  วิธีปรุง
  1. นำพุงปลาตั้งไฟให้เดือด เทกรองเอาเฉพาะน้ำ เติมน้ำตามสมควรตั้งไฟให้เดือด
  2. ใส่เครื่องแกง เดือดได้ที่เติมเครื่องปรุง น้ำตาล น้ำมะนาว กะปิ
  3. ใส่ปลาย่าง ผักสด

แกงขี้เหล็กหมูย่าง

Template 01
Template 01
Template 01
       “แกงขี้เหล็กหมูย่าง”  เป็นแกงกะทิยอดนิยมในครัวไทยสมัยก่อน ตามภูมิปัญญาไทยทราบว่า ขี้เหล็กมีสรรพคุณทางยามากมาย ทั้งเป็นยาระบายอ่อนๆ มีสารช่วยผ่อนคลายช่วยคลายความเครียด ทำให้หลับสบายส่วนของดอกขี้เหล็กแก้หืด รักษารังแค นอกจากนี้ขี้เหล็กยังมีสารเบต้าแคโรทีน และมีวิตามินซีสูงอีกด้วย ขี้เหล็กมีรสขม แต่รสขมของขี้เหล็กก็เป็นเสน่ห์หรือเอกลักลักษณ์ แล้วยังมีสรรรพคุณต่างๆ ต่อสุขภาพ
 
คุณค่าอาหารทางโภชนาการ
       แกงขี้เหล็กเป็นแกงที่มีลักษณะเฉพาะตัวก็คือ เราสามารถนำใบขี้เหล็ก  ยอด รวมถึงดอกมาทำอาหาร ขี้เหล็กจะมีรสขม เพราะฉะนั้นเวลาจะนำมาทำอาหารเราจึงต้องเอาไปต้มน้ำทิ้งหลายๆ รอบ อีกประการหนึ่งคือแกงนี้มีการใช้กะทิเพราะกะทิที่ใส่เข้าไปจะช่วยตัดรสขม 
       ประโยชน์ของขี้เหล็ก ขี้เหล็กเป็นพืชพักสมุนไพรที่มีสารบางอย่างที่ช่วยในเรื่องช่วยทำให้เรานอนหลับสบาย เป็นยาระบายอ่อนๆ เพราะฉะนั้นนอกจากหลับสบาย แล้วก็ขับถ่ายปกติ ทำให้สุขภาพดี แกงขี้เหล็กหมูย่างจึงเป็นอาหารเมนูหนึ่งที่มีคุณค่าทางโภชนาการที่ค่อนข้างสมบูรณ์แล้วก็มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ที่ควรจะนำมาบริโภคให้สม่ำเสมอ เพราะนอกจากจะเป็นผลดีต่อสุขภาพแล้ว ยังเป็นการช่วยอนุรักษ์อาหารไทยโบราณของเราให้คงอยู่
ข้อมูลคุณค่าโภชนาการโดย...ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สมศรี เจริญเกียรติกุล
 
ส่วนผสม:เครื่องน้ำพริก
วิธีทำ
- พริกแห้ง (แช่น้ำให้นิ่ม)
25   
กรัม
- หัวหอม
25
กรัม
- กระเทียม
25
กรัม
- ข่า                               
ช้อนชา
- ตะไคร้
15
กรัม
- กระชาย
125
กรัม
- พริกไทย
10
เม็ด
- รากผักชี
½
ช้อนโต๊ะ
- เกลือ                       
½
ช้อนโต๊ะ
- กะปิ                       
½
ช้อนโต๊ะ
เครื่องปรุง
- เนื้อหมูสะโพก
½
กิโลกรัม
- ใบและดอกขี้เหล็ก
3
ถ้วยตวง
- ปลาอินทรีย์เค็มย่าง
40
กรัม
- หัวกะทิ
1 ½
ถ้วยตวง
- หางกะทิ
ถ้วยตวง
- น้ำปลา
¼
ถ้วยตวง
- น้ำตาลปี๊บ
1         
ช้อนโต๊ะ
 
 
1.
โขลกพริกไทย รากผักชี ข่า ตะไคร้ ให้ละเอียด ใส่พริกแห้ง เกลือ กระเทียมหัวหอม กะปิโขลกจนละเอียดพักไว้
2.
ต้มปลาอินทรีย์เค็มที่ย่างแล้ว ใส่น้ำ 3/4 ถ้วย ตั้งไฟให้เดือด แล้วกรองเอาแต่น้ำ
3.
ต้มใบและดอกขี้เหล็กให้สุก เทน้ำทิ้งแล้วต้มใหม่อีกครั้ง ต้มให้นิ่ม บีบน้ำออกให้หมด หั่นพอ หยาบ ๆ พักไว้
4.
หั่นเนื้อหมู ชิ้นโตๆ 3 - 4 ชิ้น ย่างให้สุก นำมาหั่นชิ้นบางๆ ตามขวาง
5.
เคี่ยวหัวกะทิให้แตกมัน นำน้ำพริกลงผัดให้หอมและแตกมัน ใส่หมูย่างลงผัดให้เข้ากัน ตักใส่หม้อ
6.
เติมหางกะทิตั้งไฟให้เดือด ใส่ขี้เหล็ก ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาล พอเดือดชิมรส สุกยกลง
  
 จาก....โครงการเผยแพร่และอนุรักษ์อาหารไทยผ่านเว็บไซต์สถาบันโภชนาการ

ส้มตำ



 


ส้มตำแบบต่างๆ
  • ส้มตำไทย ไม่ใส่ปูและปลาร้า แต่ใส่กุ้งแห้งและถั่วลิสงคั่วแทน รสชาติออกหวานและเปรี้ยวนำ บางถิ่นอาจใส่ปูดองเค็มด้วย เรียกว่า ส้มตำไทยใส่ปู
  • ส้มตำปู ใส่ปูเค็มแทนกุ้งแห้งและถั่วลิสงคั่ว รสชาติออกเค็มนำ
  • ส้มตำปลาร้า ใส่ปลาร้าแทนกุ้งแห้ง นิยมรับประทานกันมากในภาคอีสาน
  • ตำซั่ว ใส่เส้นขนมจีนแทนเส้นมะละกอ นิยมรับประทานกันมากในภาคอีสาน
  • ตำป่า ใส่เครื่องปรุงเช่นเดียวส้มตำปลาร้าทั่วไป คือใส่ขนมจีน และใส่ผักหลายชนิดเพิ่มเติมจาก เช่น ผักกระเฉด ผักกาดดอง หน่อไม้ ถั่วลิสง ถั่วงอก รวมถึงหอยเชอรี่หรือหอยโข่งต้ม จะนิยมรับประทานในภาคอีสาน
  • นอกจากนี้ ยังมีบางที่ นำเอาผักหรือผลไม้ดิบ อย่างเช่น มะม่วงดิบ ใส่แทนมะละกอดิบ เรียกว่า"ตำมะม่วง"กล้วยดิบ เรียกว่า "ตำกล้วย"], แตงกวา เรียกว่า "ตำแตง", ถั่วฝักยาว เรียกว่า "ตำถั่ว" และแครอทดิบ เป็นต้น ถ้าใช้ผลไม้หลายๆ อย่างเรียกว่า ตำผลไม้
  • นอกจากนี้ยังมีการใส่วัตถุดิบอย่างอื่นลงไป โดยชื่อก็จะเปลี่ยนแปลงไปตามอย่างวัตถุดิบที่ใส่ เช่น ใส่ปูม้าเรียกว่า ส้มตำปูม้า ใส่หอยดองเรียกว่า น้ำ








 วิธีการทำส้มตำปูปลาร้า


 ส้มตำ (Som tam) เป็นอาหารคาวของไทยอย่างหนึ่ง มีต้นกำเนิดไม่แน่ชัดโดยน่าจะมาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ของไทยและ ประเทศลาว ส่วนมากจะทำโดยนำมะละกอดิบที่ขูดเป็นเส้น มาตำในครกกับ มะเขือลูกเล็ก ถั่วลิสงคั่ว กุ้งแห้ง พริก และกระเทียม ปรุงรสด้วยน้ำตาลปี๊บ น้ำปลา ปูดองหรือปลาร้า ให้มีรสเปรี้ยว เผ็ด และออกเค็มเล็กน้อย นิยมกินกับข้าวเหนียวและไก่ย่าง โดยมีผักสด เช่น กระหล่ำปลี หรือถั่วฝักยาว เป็นเครื่องเคียง
        
ส่วนผสมหลัก
  • มะละกอสับ 400 กรัม
  • น้ำปรุงส้มตำ 120 กรัม
  • ถั่วฝักยาว 80 กรัม
  • มะเขือเทศ 120 กรัม
  • พริกขี้หนู 5 กรัม
  • กุ้งแห้ง 25 กรัม
  • กระเทียม 8 กรัม
  • น้ำมะนาว 20 กรัม

 วิธีทำ

  • โขลก พริก และกระเทียมพอแหลก
  • ใส่มะละกอ ถั่วฝักยาว มะเขือเทศ กุ้งแห้ง โขลกพอให้มะละกอช้ำนิดหน่อย
  • ใส่น้ำปรุงส้มตำ และแต่งรสเปรี้ยวด้วยน้ำมะนาวอีกเล็กน้อย รับประทานกับผักสด เช่น กะหล่ำปลี ผักบุ้งไทย ถั่วฝักยาว

 

ประวัติส้มตำ
        คนมักเข้าใจกันผิดว่าส้มตำเป็นอาหารพื้นเมืองของภาคอีสานหรือของลาว แท้จริงแล้วส้มตำเป็นอาหารสมัยใหม่ถือกำเนิดมาราว 40 ปีเท่านั้น เนื่องจากมะละกอเป็นพืชที่นำเข้ามาจากเมืองมะละกา ประเทศมาเลเซีย ในช่วงสงครามเวียดนาม ซึ่งในตอนนั้นรัฐบาลไทยให้สหรัฐอเมริกา เข้ามาตั้งฐานทัพ และตัดถนนมิตรภาพเพื่อเป็นเส้นทางลำเลียงยุทโธปกรณ์ไปยังพื้นที่สู้รบ พร้อมกันนั้นได้นำเมล็ดพันธุ์มะละกอไปปลูกสองข้างทางของถนนมิตรภาพ มะละกอจึงเผยแพร่ไปสู่ภาคอีสาน เปิดโอกาสให้ชาวอีสานได้ประดิษฐ์ส้มตำขึ้น
        ส้มตำ เป็นอาหารที่คนอีสานชอบและกิน กินกับข้าวเหนียวหรือกินเล่นๆ ก็ได้ คนภาคอีสานและภาคเหนือเรียกว่า ตำส้ม การทำส้มตำทำง่ายๆ คือ นำมะละกอที่แก่จัดมาปลอกเปลือกออก ล้างเอายางออกให้สะอาดแล้วสับไปตามทางยาวของลูกมะละกอ สับได้ที่แล้วก็ซอยออกเป็นชิ้นบางๆ จะได้มะละกอเป็นเส้นเล็กๆ ปลายเรียว เมื่อได้ปริมาณมากตามต้องการแล้ว ต่อไปก็เตรียม พริก กระเทียม มะนาว น้ำปลา ถ้าเป็นส้มตำแบบอีสานแท้นั้นใช้น้ำปลาร้าแทนน้ำปลาหรือจะใช้ทั้งสองอย่าง


  ตำส้มของชาวอีสาน ไม่เฉพาะแต่มะละกอเท่านั้น ผลไม้อย่างอื่นที่ยังไม่สุกก็นำมาทำเป็นตำส้มได้ เช่นขนุนอ่อน มะม่วง มะยม เป็นต้น ปัจจุบัน ส้มตำมิใช่แพร่หลายเฉพาะในหมู่คนไทยเท่านั้น ส้มตำแพร่หลายออกไปจนกลายเป็นอาหารที่นานาชาติรู้จักและเป็นอาหารจานโปรดของนักท่องเที่ยวที่โรงแรมชั้นหนึ่งทุกแห่ง ที่สำคัญ ทหารอเมริกันที่มารบกับเวียดนาม มาประจำที่ฐานทัพในประเทศไทย ต่างก็ติดใจตำส้มอีสาน นำไปเผยแพร่ที่อเมริกาจนรู้จักกันไปทั่วโลกทีเดียว

ขนมกุยช่าย

ขนมกุยช่าย

34
วันนี้จะพาทำขนมกุยช่ายค่ะ คิดถึงน้ำจิ้มอร่อยๆมีกลิ่นขึ้นจมูกนิดๆ
เราชอบกุยช่ายมากแต่ไม่ชอบขนมกุยช่ายแบบทอด
ตอนแรกตั้งใจจะทำกุยช่ายปากหม้อเพราะชอบแป้งห่อบางๆ แต่อุปกรณ์เราไม่พร้อม
เลยเปลี่ยนมาทำขนมกุยช่ายแทน แป้งห่อหนาขึ้นมาแต่ทานน้อยๆไม่เป็นไรค่ะ อิอิ
เครื่องปรุงน้ำจิ้ม
  1. พริกชี้ฟ้าสีเหลือง สีแดง โขลกละเอียด
  2. ซีอิ๊วขาว 1/4 ถ้วย
  3. ซีอิ๊วดำหวาน 3/4 ถ้วย
  4. น้ำส้มสายชู 1/4 ถ้วย
  5. น้ำตาล 1/2 ชต
67814
วิธีทำน้ำจิ้ม
  • นำซีอิ๊วดำ ซีอิ๊วขาว น้ำส้มสายชู น้ำตาล ลงเคี่ยวในหม้อด้วยไฟปานกลาง
9
  • พอน้ำตาลละลายใส่พริกชีฟ้าโขลกละเอียดลงไป คนให้เข้ากัน จากนั้นปิดเตา
1011
เครื่องปรุงทำไส้กุยช่าย
  1. กุยช่ายประมาณ 10-15 ต้น หั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ส่วนก้านแข็งๆตัดทิ้ง
  2. กระเทียมสับ 1 ชต
  3. ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนชา
  4. เกลือ 1 ช้อนชา
  5. น้ำมัน 1 ชต
 3
4
2712
วิธีทำไส้กุยช่าย
  • ตั้งกระทะให้ร้อน นำกระเทียมสับลงเจียวกับน้ำมันให้เหลืองหอม
14
  • นำกุยช่ายลงผัด
15
  • ปรุงรสด้วยเกลือ ซีอิ๊วขาว
16
  • ผัดด้วยไฟแรง 2-3 ทีก็ปิดเตา ไม่ต้องผัดนาน
17
  • ตักใส่จาน พักไว้ให้เย็น
18
เครื่องปรุงแป้งห่อขนมกุยช่าย
  1. แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วย
  2. แป้งมัน 1/4 ถ้วย
  3. แป้งมันสำหรับนวด
  4. น้ำร้อน
195
วิธีทำแป้งห่อขนมกุยช่าย
  • ผสมแป้งข้าวเจ้ากับแป้งมันเข้าด้วยกัน (วิธีทำแป้งแต่ละคนทำสูตรไม่เหมือนกัน วิธีทำก็ไม่เหมือนกัน บางคนก็เพิ่มแป้งข้าวเหนียว แป้งเท้ายายม่อมเข้ามา)
20
  • เติมน้ำร้อน คนแป้งให้เข้ากัน คอยสังเกตอย่าให้แฉะเกินไป
21
  • ได้ที่แล้วนำแป้งมานวดกับแป้งมันที่แยกไว้ต่างหาก
22
  • นวดจนเนื้อนวลเข้ากันดี
23
  • หยิบแป้งมาปั้นให้ได้ขนาดที่ต้องการ วันนี้ทำไม่เล็กไม่ใหญ่มาก ทำประมาณไม่เยอะ
24
  • แผ่แป้งออกบางๆ
25
  • ใส่ไส้กุยช่ายให้พอดี อย่ามากหรือน้อยเกินไป
26
  • จีบแผ่นแป้งเข้าให้มิด
27
  • จีบแป้งจนรอบตามรูป
28
  • ทำไปเรื่อยๆจนแป้งหมด จากนั้นนำไปนึ่งให้แป้งสุกประมาณ 10-15 นาที ถ้าแป้งใสแปลว่าสุกแล้ว ก่อนนึ่งต้องต้มน้ำให้เดือดตัดๆค่อยเอาขนมกุยช่ายลงนึ่ง
29
  • ระหว่างรอขนมกุยช่ายสุก เตรียมน้ำมันทาภาชนะที่จะใส่ขนมกุยช่ายเพื่อที่ขนมจะได้ไม่ติดภาชนะ
30
  • เมื่อขนมสุกแล้วนำมาจัดใส่จานที่ทาน้ำมันไว้ นำน้ำมันชุบขนมที่นึ่งแล้วไว้ด้วยเพื่อขนมจะได้ดูวาวใส
3132
  • นำขนมจัดใส่จาน ทานกับผักตามชอบ แต่งหน้าขนมด้วยกระเทียมเจียว
33
  • ตักน้ำจิ้มใส่ถ้วยแต่งใส่จานทานคู่กับขนมกุยช่าย เท่านี้ก็เรียบร้อยแล้ว ขอให้อร่อยกับการรับประทานอาหาร อย่าลืมออกกำลังกายสม่ำเสมอด้วยนะคะ รูปร่างจะได้ผอมเพรียวคงเดิม หุหุ
35